MTV TRAX

Interviewed by: Narinda O-Chadee

Not So Ordinary Boy

สำหรับหนุ่มใบหน้าอ่อนวัยคนนี้ เราคงไม่ต้องแนะนำสรรพคุณหรือที่มาที่ไปของเขากันให้มากความอีกแล้ว....เพราะเป็นที่รู้ดีว่าชื่อของ”อั๊ต” หรือ “VJ Utt “ นั้น ก้าวออกไปโด่งดังในระดับภาคพื้นเอเชียขนาดไหน กล่าวได้ว่าแทบไม่นิตยสารเล่มไหน ในเอเชียที่ไม่เคยลงเรื่องราวหรือประวัติของวีเจรายนี้ผู้เป็นดั่งโลโก้และสีสัน(สดใส)ของ MTV Asia

7 ปีกับการเป็นวีเจให้ช่องเพลงระดับสากลอย่าง MTV ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายหรือเรื่องฟลุคๆอย่างที่ใครบางคนกล้าคิด ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือ ความนืยมในตัววีเจอั้ตคนนี้ ไม่เคยลดดีกรีลงเลย และทุกครั้งที่เรามีโอกาสได้ พบเจอเขาสัมภาษณ์ศิลปินต่างประเทศที่สิงคโปร์ บอกได้เลยว่ารัศมีความดังของเขาที่นั่นไม่หนีห่างจากศิลปินระดับโลกที่แวะเวียนไปสักเท่าไหร่ และมีหลายคราที่เขาได้รับเลือกให้เหมือนบุคคลตัวอย่างของเยาวชน
หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อั๊ตคงไม่ต่างจากเด็กฝรั่งหรือเด็กไทยที่โตเมืองนอกที่ใฝ่ฝันอยากเป็นพิธีกร MTV หรือ [V] โดยบุคคลที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้เขาหันมาสนใจงานด้านนี้ก็คือ น้อย-วงพรู ซึ่งเคยเป็นพิธีกรทางสไมล์ทีวีในช่วงสั้นๆ จากนั้นอั๊ตก็หาทางเข้าใกล้ความเป็น MTV ด้วยการส่งเทปจัดรายการไปให้ทางโน้นดูบ้าง ลุยเดี่ยวด้วยการบินไปออฟฟิศ MTV ที่สิงคโปร์บ้าง(แม้ว่าจะหาออฟฟิศไม่เจอ) เวลาผ่านไปหลายปี ในที่สุดโชคก็เข้าข้าง เมื่อเขามีโอกาสได้แคสติ้งเข้า MTV และรายการ Bangkok Jam ก็คือรายการแรกที่อั๊ตจัดในฐานะวีเจ ของ MTV ต่อมา MTV Asia ถึงได้ดึงเขาเข้าเป็นวีเจประจำสังกัดสิงคโปร์


เป็นวีเจมาตั้ง 7 ปีแล้ว เคยรู้สึกเบื่อบ้างไหม
ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยนะ อาจเป็นเพราะติดใจและรักการเป็นพิธีกรอยู่แล้วมันเป็นอะไรที่ไม่ต้องฝืนตัวเองและไม่ต้องเป็นใครนอกจากตัวเอง หรือถ้ารู้สึกอยากเป็นอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องทำตัว cool หรอก คือแต่ละยุคจะมีอะไรสักอย่างที่ cool ซึ่งในสายตาแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน อาจจะแบบมีพรรคพวก cool หรือพูดสำเนียงแบบ Yo! What’s up man แต่ผมรู้สึกกับตัวเองคือ ผมไม่ได้ cool ผมเป็นแค่พิธีกรที่เป็นตัวของตัวเองชัดเจน ว่าคุณเป็นคนอย่างไร รสนิยมอย่างไร เราไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็กต์ อันนี้ก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้ชอบงานด้านนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องท้อ มันก็ต้องมีอยู่แล้วเพราะกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็มีหลายกระแสว่า โอย เขาไม่เก่ง ข้อมูลไม่แน่น คือมันเป็นเรื่องธรรมดาที่มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่บางทีก็มีคนเอาเราไปเปรียบกับคนอื่น ก็อาจมีท้อบ้าง แต่สุดท้ายก็จะกลับมามองว่าตัวตนของเราเป็นอย่างไร ถ้าอยู่ได้ก็มี เพราะว่าเราไม่ได้เป็นใครนอกจากตัวเอง อีกอย่างถ้าเราเป็นแบบอย่างให้คนอื่นได้ ก็จะแสดงให้เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้อง cool อย่างที่คนอื่นเขาว่ากันเพราะขนาดคนไม่เพอร์เฟ็กต์อย่างเรายังทำอาชีพนี้ได้เลย

แสดงว่าโดยพื้นฐานแล้ว คุณก็เป็นคนที่ชอบเอนเตอร์เทนคนอื่น
มันจะมีด้านหนึ่งที่ชอบ แล้วก็อยากแบ่งความสุขไปให้คนอื่น ความสุขในแบบอารมณ์ไม่ซีเรียสน่ะ

ในช่วง 7 ปีของการเป็นวีเจ MTV Asia ตั้งแต่ปีแรกจนถึงวันนี้คุณรู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างจากเดิมแค่ไหน
มีความเข้าใจอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น ยอมรับเลยว่าถ้าย้อนกลับไปสู่ช่วงสไมล์ทีวี ยุคนั้นผมจะอินกับอัลเทอร์เนทีฟมาก ศิลปิน main stream อย่าง Take That หรือ Kylie นี่ไม่แตะเลย แต่พอโตขึ้นและได้มาอยู่กับแบรนด์ที่กว้างขึ้น ก็มีความหลากหลายและเข้าใจเพลงที่กว้างมากขึ้นเข้าใจว่าการเป็นพิธีกรที่ดีไม่จำเป็นต้องยึดติดกับแนวเพลง คือถ้ายึดติดกับแนวใดแนวหนึ่งมันก็ถนัดไปเลย แต่การเป็นพิธีกรที่กว้างขึ้น เราได้เข้าใจแนวเพลงที่หลากหลายและสามารถเอนเตอร์เทนได้มากขึ้น เพราะรับฟังทุกแนวน่ะ อย่างตอนนี้กระแสฮิปฮอปอาร์แอนด์บี ค่อนข้างมาแรงมาก แต่รสนิยมส่วนตัวตอนนี้ คือชอบฟังแจ๊ซแบบ Joss Stone หรือ Jamie Cullum อะไรอย่างนี้ ขนาด Pharrell Williams ของ N.E.R.D ผมก็ชื่นชอบเขามากยังบอกว่าเจ๋งเลย
ตอนนี้เราจะรู้จุดดีจุดด้อยของตัวเอง แต่ก่อนภาพอาจจะยังไม่ค่อยชัด เอ๊ะ ทำไมเพื่อนคนนี้เขาเก่งทำไมเราไม่เป็นแบบเขา ตอนนี้เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของเราแล้ว ผมอาจจะไม่ได้เป็นคนตลก มีมุข แต่อาจเป็นคนที่ร่าเริง พอเข้าใจตรงนี้มันก็จะเริ่มง่ายขึ้น อย่างแรกคือมันต้องทำให้เต็มที่ที่สุด ถ้ามันออกมาไม่ดี แต่เราเต็มที่กับมัน ก็โอเคน่ะ

เคยสัมภาษณ์ศิลปินคนไหนแล้วรู้สึกประทับใจบ้างไหม
ก็มี David Beckham จากที่ทีมงานเตี๊ยมมาว่าเขาเป็นคนเรื่องมาก พอเจอเข้าจริง เขาไม่เรื่องมากเลย ค่อนข้างน่ารักเลยล่ะ Alanis Morissette,Pink ก็น่ารัก จางซิยี่ ก็น่ารักมาก แต่ที่ไม่ประทับใจเลยคือ Westlife เขาอาจจะอารมณ์ไม่ดีอยู่มั้ง ผมไม่รู้ แต่งี่เง่ากับผมมาก อาจเพราะผมเป็นผู้ชายมั้ง อันนี้ก็ช่วยไม่ได

มีรายการแบบไหนหรือเวทีไหนที่ยังไม่เคยทำแล้วอยากทำบ้าง
อยากทำ Animal Planet มาก อยากทำ Animal Funniest Home Video มีรายการหนึ่งที่เอาสุนัขจากทางบ้านมาประกวด แล้วจะมีศิลปินมาให้คะแนน ก็อยากเป็นพิธีกรตรงนั้น เพราะเป็นคนรักสัตว์มาก รู้สึกว่าการอยู่กับสัตว์หรือกับเด็ก มันมีความสุข มันไร้เดียงสา แต่คนนี่แหละที่ทำให้ปวดหัว

ทุกวันนี้นอกจากเป็นวีเจ MTV และแสดงละครที่เมืองไทยแล้วทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า
ตอนนี้ก็พยายามขยายความสามารถทางการแสดงออกไป คืออยู่เมืองไทยเราแสดงเป็นภาษาไทยมาตลอด 10 ปี แล้วจริงๆภาษาอังกฤษเป็นภาษาม่ของผมไง เลยอยากลองภาษาบ้าง ก็ได้ไปลองกับซีรี่ส์เรื่องแรกที่ชื่อ “Oh Carol “ เป็นแบบแขกรับเชิญน่ะ

รับบทเป็นใครคะ
เป็น younger lover ของดาราฮ่องกงที่ชื่อ เจิ้นอวี้หลิง เป็นความรักขแงคนต่างวัยน่ะ ช่วงนี้มันมาแรงไง เหมือน Ashton กับ Demi ใช่มะ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะเป็นซีรี่ส์เรื่องแรกที่เราพูดภาษาอังกฤษ พอเว้นช่วงมาปีหนึ่งก็มีงานเข้ามา 2-3 โปรเจ็กต์ ที่น่าสนใจมากคือซีรี่ส์ที่ชื่อ “Chase” อันนี้แหละเป็นพระเอกเต็มตัวเลย เนื้อเรื่องน่ารักมาก ออกแนวซิทคอมคล้ายๆ Ally McBeal กับ Friends ก็ท้าทายมากขึ้น เรื่องที่แล้วเล่นแค่บทเล็กๆไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก แต่เรื่องนี้ทุกอย่างค่อนข้างอยู่ที่ตัวเราหมด

เป็นซีรี่ย์ของชาติไหน
เป็นโครงการของฮ่องกง ไต้หวันและสิงคโปร์ ได้แสดงคู่กับ Linda รู้สึกจะเป็นนักร้องอาร์แอนด์บีฮิปฮอบ ที่ไต้หวัน แต่ก็เป็นวีเจเหมือนกัน MTV ไต้หวัน จับมาคู่กัน

แสดงว่าเรารักในงานแสดงมากขึ้นหรือเปล่า ถึงได้คิดสานต่อในระดับนานาชาติ
ค่อนข้างชอบนะเพราะมันเป็นอีกด้านที่ท้าทาย แต่ที่รู้สึกชอบอาจจะเป็นเพราะว่า อาตู่ นพพล เป็นคนปลูกฝังตรงนี้ ยอมรับว่าเล่นละครที่เมืองไทยมา 6-7 ปี ไม่เคยเข้าใจการแสดงเลย บทมาแบบไหนก็พูดตามนั้น แต่พอมาเล่น “คุณชาย”กับอาตู่ เข้าใจฟีลของการแสดงเลยว่ามันไม่ใช่การแสดง เวลาถ่ายทอดอะไรมันต้องถ่ายทอดด้วยความรู้สึกจริงๆเลยอยากขยายความรู้สึกนั้น กับงานนอกประเทศบ้าง มันท้าทายดีแต่กับเมืองไทยก็ยังท้าทายอยู่นะ โดยเฉพาะตอนที่ได้กลับไปเล่นกับ อาตู่ ผมเคยเล่นบทคอเมดี้ด้วย แต่มันไม่เวิร์คเท่ากับเล่นบทหนักๆ ตอนนี้ก็เริ่มพัฒนาแล้ว เพราะเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจฟิวงานต่างมากขึ้น อย่างเรื่องล่าสุด Chase ก็ไม่ใช่ดราม่าจ๋า ฟิวค่อนข้างใกล้ตัวผม คาแร็คเตอร์มันน่ารักดี มีความปั้มๆเป๋อๆในเรื่องความเป็นคนพอสมควรเลยชอบฮ่ะ

ตั้งแต่แสดงมาอยากแสดงบทแบบไหน หรือมีเรื่องอะไรในใจบ้างที่อยากเล่น
แต่ก่อนจะมองว่าอยากเล่นบทโรคจิต หรืออะไรพิลึกๆเดี๋ยวนี้เปลี่ยนแล้ว อยากเล่นอะไรที่ชิลๆไม่ค่อยเครียดแบบ Adam Sandler ชอบอะไรที่สนุกสนานแบบโรแมนติกคอเมดี้ คือรู้สึกอยากเล่นแบบนั้นในจังหวะชีวิตตอนนี้

เพราะช่วงนี้มีความสุขด้วยหรือเปล่า
คงอย่างนั้นมั้ง (หัวเราะ) อาจจะเกี่ยวก็ได้นะ

ส่วนใหญ่การใช้ชีวิตของคุณแฮปปี้กับอะไรมากสุด
แฮปปี้กับพื้นฐานตัวเอง ทุกวันนี้คือพอได้ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกหรือว่าไปเจอคนมากมาย หรือว่ามีผลงานเยอะขึ้น ก็คือเสียงตอบรับที่มากขึ้น สิ่งที่ทำให้มีความสุขคือการเข้าใจตัวตน คือการกลับมาบ้าน มาอยู่กับคนรอบข้างที่รู้จักเราจริงๆ มันทำให้มีความสุขว่าเราก็มีที่ยึด ผมว่าถ้าผมไม่มี ผมคงหลงระเริงไปแล้ว ซึ่งผมว่ามันง่ายมากสำหรับคนที่อยู่วงการนี้

คุณเป็นคนซีเรียสบ้างมั๊ยเพราะเห็นร่าเริงตลอด
มีบ้างแต่ค่อนข้างเบาลงแล้ว แต่ก่อนซีเรียสกว่านี้อีก ผมเป็นคนค่อนข้างรู้ว่าตนเองต้องการอะไร และกำลังทำอะไรอยู่ การจะเป็นคนอย่างนั้นมันค่อนข้างที่จะต้องมีสติ สมาธิ และต้องมีความซีเรียสในตัวเองอีกด้วย

ทุกวันนี้ยึดอะไรเป็นหลักในการดำเนินชีวิตบ้างหรือเปล่า
ซื่อสัตย์ต่อตัวเองและคนรอบข้าง ช่วงที่กำลังโตอาจจะค่อนข้างฟังและไว้ใจคนอื่นพอสมควร เหมือนเป็นคนซื่อไม่มองให้ชัด ว่ามันคืออะไร ซึ่งพอโตขึ้นมันก็ยังมีอยู่ แต่ว่าจะค่อนข้างแบบเห็นยังไง ก็เห็นอย่างนั้น พูดอะไรก็พูดตามนั้น แล้วรู้สึกว่ามันทำให้อะไรๆในชีวิตง่ายขึ้น เพราะจริงๆมันไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมาหรอก ซึ่งมันเป็นนิสัยอย่าง
หนึ่งของคนไทย ตัวผมเองก็อาจจะติดตรงนี้มาด้วย แต่มันก็ต้องรู้จังหวะว่า เมื่อไรเหมาะที่จะใช้และเมื่อไรที่ไม่ควรใช้

ในฐานะวีเจแล้วคุณค่อนข้างประสบความสำเร็จมาก เคยคิดไหมว่าทำไมตัวเองถึงประสบความสำเร็จ
อาจจะอยู่ที่ความพยายามและความมุ่งมั่นเป็นสำคัญ ถ้าคนมองแบบผิวเผินอาจจะคิดว่าผมโชคดีเพราะโอกาสดี ก็อาจจะใช่ส่วนหนึ่ง แต่ทุกสเตปที่เดินมาทุกวันนี้เป็นทุกสเตปที่ตัวเองวางเอาไว้ มันต้องมีความมุ่งมั่น ผมยังเคยส่งเทปมา เคยบินไปสมัคร ถ้ามีขั้นตอนไหนที่ท้อแท้ ไม่เดินต่อมันก็อาจจะไม่ใช่เส้นทางของเรา แต่ถ้าเราเดินต่อเราอาจเจอเส้นทางของเรา อย่างผมรักการแสดง ทุกวันนี้ก็ได้มาเป็นพระเอกเต็มตัว ก่อนหน้านี้อาจจะมีท้อบ้าง ว่าทำไมไม่มีโอกาสเป็นพระเอกเต็มตัวที่สิงคโปร์วะ ก็พูดภาษาอังกฤษได้อะไรอย่างนี้ ผมว่าถ้าคนเรามุ่งมั่นไม่ท้อถอยก็อาจจะมีวันข้างหน้าสำหรับเรา อย่างที่ทำ MTV ทุกวันนี้ก็เหมือนกับเราปูทางให้ตัวเองมาตลอด

แสดงว่าตอนนี้พอใจในจุดที่ตัวเองยืนอยู่แล้วใช่ไหม
พอใจนะ

การได้มายืนอยู่ในระดับอินเตอร์ฯคิดว่ามีอะไรที่ตัวเรา หรือสังคมรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ไม่ค่อยรู้สึกนะครับ อาจจะเป็นเพราะว่าพื้นฐานการวางตัวตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว ผมค่อนข้างทำตัวเป็นคนที่ใครๆก็เข้าถึงได้ เหมือนถ้าใครเห็นเราตามถนนก็เข้ามาพูดคุยได้ จะแบบสบายๆ down to earth ผมจะยึดตรงนี้ไว้เสมอ

ถ้าถามว่าจริงๆแล้วชอบงานวีเจ หรืองานแสดงมากกว่ากัน
คงตอนนี้ตอบไม่ได้ เพราะชอบทั้งคู่ แต่งานแสดงจะเหนื่อยกว่า พิธีกร อาจเป็นเพราะงานพิธีกร ค่อนข้างอยู่ตัวกว่างานแสดงเยอะ การแสดงจะเหนื่อยกว่าเพราะต้องทุ่มเทเหมือนเอาตัวเราไปอยู่กับตรงนั้น

:: TOP ::

December 2004