Final Fantasy XIII : Farewell to The Sham
ฤาว่าภาพสมมติจะคล้ายจริง
Text : Anthana Klaphajon ถ้ารู้ตัวว่าเป็นเซียนวงการบันเทิงละก้อขอท้า (รวมถึงคุณแจ๋วริมจอและซ้อเจ็ดด้วยเอ้า)
ตอบคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับอั๊ต อัษฏา พานิชกุล แล้วเดี๋ยวก็รู้ว่า คุณเป็นแฟนพันธุ์แท้หรือแฟนพันธุ์เทียม ตอบให้ครบทุกข้อ แล้วค่อยไปดูเฉลยรวดเดียว (อ้อ! เฉลยอยู่ด้านล่างนะ แอบดูเลยสิ นี่ไง อยู่แค่นี้เอง ไม่มีใครรู้หรอกน่า…ตรงวงเล็บหนา ๆ นั่นนะ)
ข้อ 1. คุณว่าอั๊ตอายุเท่าไหร่ 21-24 / 25-29/ 30-33
ข้อ 2. อั๊ตเป็นลูกครึ่งอะไร ไทย-อเมริกัน / ไทย 100 % / ไทย-อังกฤษ
ข้อ 3. ชื่อ “อั๊ต” เป็นชื่อเล่นแท้ ๆ หรือไม่
(ถ้าตอบใช่ - ข้ามไปเล่นข้อ 5 หรือ อยากเล่นข้อ 4 ด้วยก็ok)
ข้อ 4. แล้วจริง ๆ คุณคิดว่า ชื่อไหนเป็นชื่อเล่นของอั๊ต
: art / greg / mike
ข้อ 5. ชื่อภาษาอังกฤษของอั๊ตสะกดว่า u-t-t-s-a-d-a คิดว่าใครเป็นคน เบิ้ลตัว t เพิ่มเข้าไปอีก 1 ตัว
: บอย โกสิยพงษ์ / คุณทวด / หลวงพ่อที่วัดไทยในแคลิฟอร์เนีย
ข้อ 6. ใครเป็นแรงบันดาลใจให้อั๊ตเข้ามาเป็นวีเจ
: พิม ซอนย่า / น้อย วงพรู / มาดอนน่า
(…..นึกแล้วว่าต้องเล่นไม่ซื่อ โธ่เอ๊ย กระจอกจัง….)
เฉลย
ข้อ 1. อั๊ตขึ้นเลข 3 แล้วจ้ะ (ถึงจะหน้าไม่ให้ก็เถอะ)
ข้อ 2. ไทย 100 % เป็นคำตอบสุดท้าย
ข้อ 3. ถ้าตอบใช่ แสดงว่าคุณเป็นพวกหัวอ่อน และอาจถูกหลอกง่าย ๆ ถ้าตอบไม่ คุณอาจจะรู้จริง
หรือเดาถูก หรืออยากเล่นข้อ 4 แตถ้าอยากตอบใช่ แล้วเลือกตอบไม่ แสดงว่าคุณเป็นพวก
กล้าเสี่ยง
ข้อ 4. greg
ข้อ 5. ชื่อแรกที่คุณเห็นนั่นแหละ
ข้อ 6. amazing ! น้อย วงพรู
หลายคำตอบอาจทำให้คุณงงงวย ซึ่งนั่นรวมถึงเราด้วย โดยเฉพาะข้อ 1, 5 และ 6 เชิญอ่านเฉลยโดยละเอียดที่ด้านล่าง เพื่อบรรเทาความ “คัน” (…คันหัวไง เวลาสงสัยเห็นชอบเกาหัวไม่ใช่เหรอ)
“เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว (ที่แคลิฟอร์เนีย) ไปเจอเพื่อนสมัยเด็ก แล้วก็เจอพ่อแม่ของเพื่อนด้วย ท่านบอกว่า อั๊ต ยูไม่เปลี่ยนเลย เราถามว่าจริงเหรอ เขาบอก ใช่ เหมือนยูอมตะ
ดูลูกไอสิ ลูกไอเปลี่ยนไปมาก ไปทำอะไรมาน่ะ เราก็แบบ…ไม่รู้ มันคงอยู่ที่ข้างในด้วยมั้ง จิตใจยังดีอยู่ แต่อาจจะเกี่ยวกับพ่อแม่ เพราะป๋ากับแม่ก็ดูอ่อนกว่าวัย แล้วพอเจอเพื่อน เขาก็ถามว่า ตอนนี้ทำอะไร - เป็นวีเจอยู่เอ็มทีวี… เฮ้ย ! พูดเป็นเล่น ยูนะเหรอเป็น TV personality แต่ก่อนขี้อายมาก คือ ไม่เชื่อ เพื่อนจะนึกว่าไปอยู่อีกรัฐ หรือไปทำอาชีพการงานอย่างอื่น พอรู้ว่าทำเอ็มทีวี ก็จะแปลกประหลาดใจ เพราะตอนเด็กเป็นคนกลัวกล้อง ไม่คิดว่าจะมีอาชีพอยู่หน้ากล้อง หรือเป็นนักแสดง ถ่ายแบบ พิธีกร- - แต่มันก็พลิกล๊อก
แล้วตอนนี้เพื่อนวัยเดียวกัน …“มีลูกหมดแล้ว (หัวเราะ) บางคนเราจำเขาไม่ได้เลยนะ เพราะเริ่มหัวล้าน บางคนก็เริ่มอ้วนๆ
พี่บอย โกสิยพงษ์ ล่ะ มาเจอกันได้ไง คนละวงโคจรเลย “อั๊ต เป็นชื่อเล่นที่ย่อมาจากพยางค์แรกของชื่อจริง - อัษฏา ตอนเกิดมาก็ใช้ชื่ออัษฏา ครอบครัวจะเรียกชื่อเล่นว่าอั๊ต แต่จริง ๆ ตัวสะกดเป็นอาร์ต a-r-t พอประมาณ 8-9 ขวบ ก็ตั้งชื่อเล่นใหม่ว่า เกร็กแล้วก็เปลี่ยนเป็น เกร็ก อัษฏา พานิชกุล แต่ตัวสะกด u-t-t เป็นการคิดของพี่บอย โกสิยพงษ์ แต่ไม่มีใครรู้ จริง ๆ แล้วก่อนเข้าวงการเคยเจอพี่บอย ก่อนที่พี่เขาจะก่อตั้งเบเกอรี่อีก ตอนนั้นเขายังเรียนอยู่เมืองนอก แล้วเผอิญพี่บอยสนใจที่จะ …ย้อนเรื่องนิดนึง คือสนใจจะให้เป็นนักร้อง เลยบอกว่า ถ้าตั้งชื่ออัลบั้ม ก็น่าจะใช้ u-t-t นะ แล้วมันเหมือนจังหวะไม่ลงตัว ต่างคนเลยต่างเดินเส้นทางไม่เหมือนกัน ถ้าตอนนั้นได้ทำเทป ก็คงใช้ชื่อชุด utt (ยูทีที) แข่งกับ UHT ? (หัวเราะ) “ก่อน UHT หลายปี รู้สึกว่าจะประมาณ 3-4 ปีด้วยมั้ง “ แล้วลูกบ้านเบเกอรี่อีกคน.. คุณน้อย วงพรู เกี่ยวอะไรกับการเป็น วีเจ
“ดูน้อยไง..ดูน้อยในทีวีถึงได้อยากเป็น วีเจ ตอนนั้นเมืองไทยยังไม่มีเอ็มทีวี, แชลแนล วี มีแต่ ไทยสกาย กับสไมล์ ทีวี พอเห็นน้อยก็คิด เราน่าจะทำได้นี่หว่า เลยลองสมัครดู แต่น้อยจะงง คือเขาเขิน เวลาที่เราบอกว่า รู้มั้ยเป็นเพราะยูนะที่ไอเข้าไปทำสไมล์ ทีวี เพราะไอเห็นยูในทีวี น้อยก็จะแบบ thanks, thanks man (นึกถึงท่าอายของคุณน้อย) ตามสไตล์ของเขา แต่ไม่มีใครรู้ เพราะตอนนั้นน้อยใช้ชื่อคริส เพราะชื่อไทยเขาคือกฤษดา
ทำสไมล์ ทีวี มาประมาณ 4-5 ปี แต่ก็ใฝ่ฝันตลอดว่าวันนึงต้องทำเอ็มทีวีให้ได้ เลยจัดการรวบรวม เทปที่เป็นพิธีกรสไมล์ ทีวี ทั้งหมด ขอที่อยู่ของเอ็มทีวี แล้วส่งเทปตัวเองไปสิงคโปร์ แต่ตลกนะ ทุกวันนี้ถาม เอ็มทีวีว่ามีเทปเรามาถึงบ้างมั้ย เขาบอกไม่เคยได้รับ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก เพราะตอนนั้นเล่นละครด้วย ทำอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด พอผ่านไป 2-3 ปี มีโอกาสเจอทีมงานเอ็มทีวี ที่เมืองไทย ก็บอกเขาว่าอยากไปเทสต์ แต่ตอนนั่นเอ็มทีวี ยังไม่รับ ผ่านไปอีก 3-4 ปี เจอโมเดลลิ่ง ก็บอกอีก เนี่ย ถ้าเขามาแคสต์เรียกหน่อยนะ แล้วพอดีโมเดลลิ่งจำที่เราพูดได้ ก็มาถามว่า เนี่ยอั๊ต
เขาแคสติ้งอยู่ สนใจมั้ย-สนดิ (หัวเราะ) ไปแคสต์เป็นคนสุดท้ายใน 2 วันที่เขาหาพิธีกร ในที่สุด คือผ่านรอบแรก ส่วนรอบ 2 ต้องไปเทรนนิ่งที่สิงคโปร์ 10 วัน มารู้ผลว่าได้ก็อีกประมาณเดือนนึง”
จำเพื่อนร่วมรุ่นได้บ้างมั้ย “มี ตะแง๊ว มีน้อย (วงพรู) มีเฮเลน มีเพชรัตน์ ศรีแก้ว ส่วนเรย์ (แมคโดนัลด์) มาทำแป๊บนึง แล้วก็มีครึ่งนึงจาก สไมล์ ทีวี ออกไปทำ แชนแนล วี ก็จะเป็น ตะแง๊ว หาญส์ หิมะทองคำ ( ส.ก. พรรคไทยรักไทย อดีตนักแสดงคนนั้นนั่นแหละ) ลิซ่า แฟนเก่าหาญส์ (อุ๊บส์) นี่คือเท่าที่จำได้ ส่วนที่ไม่ได้ไป แชนแนล วี ก็…เรา (หัวเราะ) คงเป็นดวงมั้ง เพราะที่สุดแล้วก็ได้มาทำ เอ็มทีวี แต่ก่อนที่จะมาเป็น เอ็มทีวีเอเซีย ก่อนหน้าเราก็จะเป็นยู่ยี่ ( อลิสา อินทุสมิต) หลังยู่ยี่ ก็เป็น เจ มณฑล หลังจากเจ ก็เป็นเมย์ ภัทรวรินทร์
หลังจากนั้นก็เป็นเรา ตอนนั้น คือ 4 คน ยู่ยี่ เจ เมย์ เรา ประจำอยู่ที่เมืองไทย ส่วนพิม-ซอนย่า ไปประจำที่สิงคโปร์ แล้ว 2 ปี ถัดมา เขาก็ให้ไปประจำที่สิงคโปร์2-3 ปีที่หายจากเมืองไทย เหมือนได้เปิดโลกกว้าง ไปเริ่มต้นที่ประเทศใหม่ แล้วการทำงานมันก็แตกต่าง ก่อนไปสิงคโปร์ก็ไปอยู่ฮ่องกง 7 เดือน รวมแล้วใช้เวลาทำงานในต่างประเทศประมาณ 3 ปี รู้สึกว่ามันยังไม่อิ่มตัวซะทีเดียว เพราะในด้านประสบการณ์เรายังได้พบปะผู้คนใหม่ ๆ อีกเรื่อย ๆ
ที่สิงคโปร์ นอกจากงาน วีเจแล้ว ก็มี ทีวีซีรี่เรื่อง Oh! Carol ด้วย งานนี้ต้องแคสติ้งเหมือนกัน เพราะเขาเห็นแต่เราเป็น วีเจ เห็นแต่ภาพ Hey! What’s up? เขาไม่รู้ว่าอยู่เมืองไทย เราก็เล่นละครมาตลอด แต่ตอนนี้เริ่มรู้มากขึ้นจากสื่อ ต่าง ๆ ก็เหมือนอย่างที่เมืองไทย คนอาจจะไม่รู้ว่ายังทำเอ็มทีวีอยู่ แต่พอละครออกอากาศ มีการให้สัมภาษณ์ เอ๊ะ ทำอะไรอยู่นะ อ๋อ ทำเอ็มทีวี และตอนนี้ก็มีเทปรายการที่อัดไว้สำหรับมาออนแอร์ในเมืองไทยด้วย เลยเริ่มเห็นหน้าได้บ่อยขึ้น แต่ที่เมืองนอกภาพวีเจจะค่อนข้างชัด พอให้สัมภาษณ์ไปแล้วเขาถึงได้ อ๋อ ยูเป็นนักแสดงที่เมืองไทยเหรอ ซีรี่ที่เล่นนี่ ก็เหมือนเข้าวงการแรก ๆ เหมือนไปเป็นเด็กใหม่ ในบ้านเขา ทุกวันนี้ เวลาให้สัมภาษณ์ ก็มักจะบอกว่า จริง ๆ มีไฟเป็นนักแสดงอยู่แล้วนะ เพราะเป็นนักแสดงมาก่อน
พอดีเป็นเป็นคนชอบเรื่องผี ๆ แล้วก็อยากลองทำพิธีกรอื่น ที่ไม่ใช่เอ็มทีวี ซึ่งทางเอ็มทีวี ก็อยากให้เราโตขึ้นด้วย และมันไม่ได้เป็นรายการที่เป็นคู่แข่งกัน เลยได้ทำพิธีกรอีกหนึ่งรายการ เหมือนๆ มิติลี้ลับบ้านเรา ชื่อ Incredible Tales ซึ่งต้องออกไปถ่ายทำในสถานที่ที่มีเหตุการณ์ เกิดขึ้นจริงด้วย สนุกดี แต่ยังไง ๆ ก็ไม่น่ากลัวเท่าผีบ้านเรานะ ผีเราน่ากลัวกว่า (หัวเราะ) ดูเฮี้ยนกว่า แต่ที่นั่นก็ไม่เบา คือมีประวัติเยอะ เพราะว่าเป็นเมืองขึ้น จะมีญี่ปุ่นเข้าไปรบ ฆ่าคนของเขา ฆ่าฝรั่ง เพราะฉะนั้น ก็จะผสมกัน ทั้งผีฝรั่ง ผีญี่ปุ่น ผีอะไรเยอะแยะไปหมด แล้วก็ชอบอ่านหนังสือฆาตกรรม ในอพาร์ตเมนต์จะมีแต่หนังสือพวกนี้เต็มห้อง แล้วอยากลองเล่นบทอะไรแบบนี้ดูด้วย ประเภทภาพลักษณ์เป็นคนดี ไม่มีทางจะเป็นโรคจิตได้ แต่จริง ๆ แล้วเป็น อยาก..อยากลอง “
เล่าไปพลาง, อวัจนภาษาและวัจนภาษาก็พร่างพรู มือไม้ช่วยอธิบายสลับกับประโยคบอกเล่า จนแทบจะเห็นภาพตาม แต่เผอิญตวัดตาไปเห็นบางอย่างที่มือซ้ายเข้า ขณะที่กำลังขยับยุกยิก อยู่กลางอากาศ
“มีรอยสักมาได้ประมาณปีกว่าแล้ว เป็นตัวโอมของศาสนาฮินดู ซึ่งเขาจะแบ่งเป็น ภาคใต้กับภาคเหนือ อันนี้เป็นสัญลักษณ์ของภาคใต้ ที่สักเพราะชอบความหมายของสัญลักษณ์ ก็คือ god is universe หมายถึงพระเจ้าเป็นวัฎจักร คือไม่ยึดติดว่า พระเจ้าเป็นใคร พระเจ้าเป็นใครก็ได้ และในรอยสักจะมีรูปดาบของพระศิวะ ซึ่งเป็นพระแห่งเวลา พระแห่งความรู้ พระแห่งการทำลาย และการสร้าง การสักที่มือมันเหมือนเป็นการกำหนดเองว่า เราจะใช้มือนี้เป็นผู้ทำลายหรือผู้สร้าง
เป็นคนชอบยืมศาสนาคนอื่นมาใช้ ศาสนาไหนมีทัศนคติที่ดี มีแบบอย่างที่ดีก็เอามาปรับ แต่ศาสนาพุทธนี่แหละที่ใช้เป็นวิถีหลักในการดำเนินชีวิต”
ในอาชีพการงานบันเทิงทั้งหมด 14 ปี ฟังอั๊ตเล่าแล้วเหมือนทุกอย่างได้มาง่าย ๆ วันนี้, อั๊ตยังคงพูดคุยได้น่าฟัง เป็นกันเอง เป็นธรรมชาติ ในแบบที่ไม่ต้องวางมาดหรือมีอะไรมาค้ำคอ และ เมื่อพบกับทีม dna ในที่สาธารณะโดยบังเอิญ แม้จะห่างกันหลายโยชน์ แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะโหวกเหวกโบกมือทักทาย…หรือวงการบันเทิงที่อั๊ตอนุมานว่าเป็น “ ภาพมายา” จะไม่ได้หลอมให้เขานำภาพลวงตามานุ่งห่มแทนที่เนื้อแท้ตัวตนจริง
“มายาที่พูดถึงคือภาพรวม คือสิ่งที่คนดูได้รับ ยกตัวอย่างการถ่ายละครออกอากาศแค่ ชั่วโมง-2ชั่วโมง แต่ถ่ายทำ 6 เดือน นี่คือตัวอย่างของมายามันเป็นภาพสำเร็จรูป แล้วคนดูก็จะเชื่อในสิ่งที่เห็น แต่จริง ๆ มายาไม่ได้มีอยู่แค่ในวงการบันเทิง ก็เหมือนที่บางคนพูดเอาไว้- -เรามีโลกใบนี้เป็นฉาก และทุกคนในโลกเป็นตัวละคร
ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำอยู่ ทั้งการเป็นวีเจ ได้พบศิลปิน พบคนดัง พบกับน้อง ๆ แฟน ๆ มันเป็นงานที่ค่อนข้างมีสีสัน พอมีเวลาส่วนตัว เลยจะเน้นความเรียบง่าย simple เพราะนี่คือพื้นฐานของตัวเอง เมื่อกลับบ้านก็จะรู้ว่า สิ่งรอบข้างทำให้เรามีวันนี้ ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง ความเรียบง่ายของชีวิต บ้านช่อง สิ่งเหล่านี้ทำให้มีพลังในการกลับไปมีสีสัน กลับไปในวงการบันเทิงที่เรามีอาชีพอยู่ ถ้าเราสามารถถอนตัวจากตรงนั้น แล้วกลับมาอยู่กับอะไรที่มันเรียบง่าย จะทำให้รู้ว่า เราเองก็เป็นแค่คน ๆ หนึ่ง เหมือนกับคนอื่น ๆ”
เผอิญรู้มาว่า การเป็นวีเจหลักของเอ็มทีวีนั้น อั๊ตต้องบินไปทำงานที่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง และ ไต้หวันด้วย จึงเป็นเหตุให้ต้องทำงานตลอด 7 วัน และยิ่งต้องแวะมาเมืองไทยเพื่อถ่ายละคร 2 เรื่อง (ฉายแล้ว 1 โดนดองอีก1) อย่างนี้จะพอเจียดเวลามานั่งเรียบเรียงการณ์ไกลในอนาคตได้บ้างหรือไม่ เพราะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ไมล์อายุที่ไม่เข้ากันเลยกับใบหน้า ตอนนี้ได้วิ่งแซงไปไกลเอาการอยู่
“ ตลอดอาชีพการงาน 10 กว่าปี พึ่งจะสามารถจัดสรรชีวิตตัวเองได้เมื่อสักประมาณ ปี – 2 ปีนี่เอง แต่เมื่อ 6 – 7 ปีที่แล้ว เป็นคนที่ค่อนข้างวางแผนว่า อายุเท่านี้ต้องมีเท่านี้ ต้องทำแบบนี้ ต้องมีครอบครัว มีอะไรก็ว่าไป แต่พอดำเนินชีวิตแบบนั้น เวลาเจอปัญหา หรือ เจอสถานะการณ์ บางอย่างที่ทำให้เราเป๋ ไปไม่ถึงสิ่งที่หวัง ก็จะเซ็ง จะผิดหวัง เลยเลิก แล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบัน คือ ชีวิตมันไม่แน่นอนไง รุ่งเช้าพรุ่งนี้ยังจะมีชิวิตอยู่หรือเปล่าไม่รู้ เพราะมีทั้งเพื่อน ทั้งญาติพี่น้อง ที่เสียชีวิตไปแล้ว เลยเกิด question mark ว่า แล้วจะนับภาษาอะไรกับเรา ฉะนั้น ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดในวันนี้และมีความสุขกับสิ่งที่มี นั่นเป็นปรัชญาที่ยึดไว้ แล้วเส้นทางนี้ จะพาเราไปใหน…ก็อุ่นใจน่ะ ถ้าต้องแต่งงาน ก็แต่ง แต่จะไม่วางแผนอย่างที่เคยเป็นเมื่อก่อน
อาจจะเป็นเพราะ หนึ่ง พอมีโฟกัสที่ชัดเจนแล้ว แถมยังมี foundation ที่หนักแน่น ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อนฝูงรอบข้าง เลยรู้สึกว่า เราสามารถมุ่งมั่นไปข้างหน้าได้สบาย โดยที่ไม่ต้องเป็นใคร นอกจากเป็นตัวเอง แต่นอกเหนือจากที่มีหน้าที่การงานที่ดีแล้ว เราก็เหมือนกับเป็นตัวแทนในหลาย ๆ อย่าง หนึ่ง คือเป็นตัวแทนคนไทย ถ้าสัมภาษณ์ก็จะบอกเสมอว่า I’m Thai มาจากใหน –Thailand คืออยากให้ข้างนอกเห็นว่า คนไทยเก่ง คนไทยมีความสามารถ คุณป้าท่านนึงเคยเล่าว่า แกมีเพื่อนอยู่ บรูไน แล้วนั่งดูทีวีกัน เพื่อนของป้าก็ติว่า เนี่ย คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งนะ แล้วก็ยกตัวอย่าง ดูคนนี้สิ ที่ชื่ออั๊ต ลูกครึ่งฟิลิปปินส์นะ ภาษาอังกฤษเขาชั๊ด-ชัด ป้าก็ โห…ได้ทีเลย รีบบอกไปว่า ยูรู้มั้ย He น่ะคนไทยนะ ไทยร้อยเปอเซ็นต์เต็ม ป้าบอกป้าสะใจมาก (หัวเราะ)
แล้วที่สิงคโปร์เราค่อนข้างมีแฟนคลับเยอะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พูดออกไปหรือการกระทำของตัวเอง บางอย่าง อาจจะไปมีอิทธิพลกับพวกเขา ส่วนใหญ่ในบทสัมภาษณ์ก็มักเน้นเสมอว่า เราจะไม่เป็นใคร นอกจากเป็นตัวเอง และรู้สึกว่าการเป็นตัวเองนี่แหละ ที่อาจจะเป็นทางเลือก ให้กับเยาวชน หรือเด็กยุคใหม่ เพราะทุกคนจะมี idol หรือคนที่เขาปลื้ม แล้วอะไรที่ idol พูด หรือทำ ก็อาจจะมาม ีอิทธิพลต่อตัวเขาได้ เพราะตอนเข้าวงการแรก ๆ ตัวเองเคยปลื้ม คนๆ นึง แล้วพอได้เจอกัน เขาทำให้เรารู้สึกดี เลยจำไว้และปูพื้นฐานการใช้ชีวิต ให้กับตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งได้มีจุดยืนเป็นที่รู้จัก จะทำตัวให้เหมือนคนที่ตัวเองเคยปลื้มมา ตรงนี้ คิดว่ามันเป็น motivation ในการทำงาน และการใช้ชีวิตนะ คือ นอกจากมีงานดี ก็ยังได้ เป็นแบบอย่างกับคนอื่นด้วย สมมติเด็ก ๆ เขาคิดว่า โห…..เราเป็นดารา ร่ำรวย มีเงิน มีเพื่อนฝูง แต่เราก็สามารถถ่ายทอด ในด้านที่ว่า ใช่…เรามีงานดี มีเงินทอง แต่ใช้ชีวิต simple เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ มันก็อาจจะเป็นอีก ตัวเลือกนึงของเขาได้ หรือ ถ้าเจอน้อง ๆ ที่ สตูฯ ก็จะบอกว่า ถ้าปลื้มพี่มาก ก็ไปเรียนหนังสือซะ แล้วค่อยเจอกัน เสาร์-อาทิตย์ ไม่อยากให้มาเครซี่จนไม่เป็นอันเรียน”
…เหมือนนางงามเลยเนอะ…เราพ้อ เป็นคนดังเงินดีต้องมีภาระกับสังคมขนาดนี้เชียว?
“ แต่ที่ไม่ใช่ภาระ เพราะว่าเป็น ‘ตัวเอง’ ไง ถ้าไม่ได้เป็นตัวเองนี่แหละถึงเป็นภาระ เคยได้ยินบางคนในวงการพูดว่า โอย น่าเบื่อ ต้องเจอคน เจออะไรมากมาย- -เฮ้ย…เลือกเอง ถ้าจะมานั่งพูดว่า เบื่อว่ะ แล้วจะอยู่ไปทำไม ถ้ามันเหน็ดเหนื่อยหนักหนาอะไรอย่างนั้น ก็ไม่ต้องอยู่”
สตูฯ ถ่ายแฟชั่นวันนี้บดบังความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าจากบ่ายแก่ ๆ เป็นค่ำคืนได้อย่างมิดชิด อะไรบางอย่างเตือนว่า เราควรจะปล่อยให้คนตรงหน้าได้พัก เพราะบินตรงจากอเมริกามาลงเมืองไทยเพื่อร่วมฉลองปีใหม่กับ dna ในปกพิเศษฉบับนี้ และจะกลับสิงคโปร์โดยทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น
“ ดีใจนะ…ที่ชีวิตได้มีทุกรสชาติ ดีใจ…ที่แม้ว่าจะเจอทั้งเรื่องดี ไม่ดี เพราะมนุษย์ทั่วไป ก็ต้องเจอทั้งดี และ ไม่ดี แล้วแต่ดีกรีในการไปเจอเรื่องราวของแต่ละคน แต่มันต้องมีทุกรสชาติถึงจะเรียกว่าเป็นชีวิต”
…เราถอยรถออกมาช้า ๆ ซีอาร์วีสีดำมันปราบของอั๊ตก็เช่นกัน เราหยุด, ให้เขาไปก่อน พร้อมกับเอื้อมมือไปจัดอะไรจุกจิกที่เบาะด้านหลัง กะเวลาให้รถคันหน้า เคลื่อนพ้นทาง แล้วจึงหันมาเข้าเกียร์
“ อ้าว! ทำไมยังไม่ไป (วะ)” เราบ่น
กระจกติดฟิล์มค่อย ๆ เลื่อนลง เผยให้เห็นมือของคนที่พึ่งเอ่ยลากันเมื่อครู่โบกไปมา
“ บ๊าย – บาย “ เราอ่านปากเขาผ่านกระจกด้านคนขับ
เหมือนจะยิ่งเป็นการยืนยัน paragraph ที่เขียนเอาไว้ว่า ‘…หรือวงการบันเทิงที่อั๊ตอนุมานว่าเป็น ‘ภาพมายา’ จะไม่ได้หลอมให้เขานำภาพลวงตามานุ่งห่มแทนที่เนื้อแท้ – ตัวตนจริง’ นั้น…
ไม่ได้เป็นสิ่งที่เราสรุปเอาเองคนเดียว.
:: TOP ::
|
December 2003 - January 2004 |
|